1. ทำไมระบบ MRP จึงสำคัญต่อโรงงานยุคใหม่
ในโรงงานจำนวนมาก การวางแผนการผลิตยังอาศัย Excel กระดาษ และประสบการณ์ของหัวหน้าสายการผลิต ซึ่งอาจใช้งานได้ในช่วงแรก แต่เมื่อจำนวนออเดอร์เพิ่มขึ้น ไลน์ผลิตมากขึ้น และสินค้ามีการแตกไลน์หลายรุ่น การควบคุมแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอทันที เกิดปัญหาสต็อกขาด–เกิน งานค้างบนไลน์ และต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้
ระบบ Odoo MRP ช่วยทำหน้าที่เป็น “สมองกลางของโรงงาน” ที่เชื่อมข้อมูลจากคำสั่งขาย (Sales Order), คลังสินค้า (Inventory), การจัดซื้อ (Purchase) และเครื่องจักร/แรงงาน (Work Centers) เพื่อวางแผนการผลิตอย่างมีเหตุผล ทุกคำสั่งผลิต (Manufacturing Order) จึงยึดตามข้อมูลจริง ไม่ใช่การคาดเดา
2. โครงสร้าง BOM: จากชิ้นส่วนย่อยสู่สินค้าสำเร็จรูป
หัวใจแรกของระบบ MRP คือ BOM – Bill of Materials หรือ “สูตรการผลิต” ที่ระบุว่าสินค้าสำเร็จรูปหนึ่งชิ้น ใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนอะไรบ้าง ในปริมาณเท่าใด Odoo ช่วยให้คุณกำหนด BOM ได้หลายระดับ (Multi-level) เช่น จากวัตถุดิบ → ชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป → สินค้าสำเร็จรูป
ตัวอย่างเช่น หากคุณผลิตเฟอร์นิเจอร์หนึ่งตัว BOM อาจประกอบด้วยไม้, น็อต, สี, ฟองน้ำ และอะไหล่ย่อยอื่น ๆ เมื่อสร้าง BOM ใน Odoo แล้ว ทุกครั้งที่ออกคำสั่งผลิต ระบบจะรู้ทันทีว่าต้องดึงวัตถุดิบอะไรออกจากคลังสินค้าในปริมาณเท่าไหร่ ทำให้การคำนวณสต็อกและต้นทุนแม่นยำ ไม่ต้องคำนวณมืออีกต่อไป
3. เส้นทางการผลิต (Routing) และ Work Center – เห็นทุกขั้นตอนบนไลน์
นอกจาก “ใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง” แล้ว ระบบการผลิตที่ดีต้องตอบได้ว่า “ผ่านขั้นตอนการทำงานอะไรบ้าง” นี่คือหน้าที่ของ Routing และ Work Center ใน Odoo
คุณสามารถกำหนดเส้นทางการผลิต เช่น ตัด → ขัด → ประกอบ → พ่นสี → ตรวจสอบคุณภาพ โดยแต่ละขั้นอาจใช้เครื่องจักรหรือเวลาทำงานแตกต่างกัน ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณ:
- วางแผนคิวงานในแต่ละ Work Center ได้ชัดเจน
- ประมาณระยะเวลา Lead Time ของการผลิตสินค้าแต่ละรุ่น
- คำนวณต้นทุนแรงงานและค่าเครื่องจักรต่อชิ้นได้แม่นยำ
4. วางแผนและจัดตารางการผลิต (Production Planning & Scheduling)
เมื่อมี BOM และ Routing ที่ชัดเจน Odoo MRP จะช่วยให้คุณสร้าง Manufacturing Orders จากคำสั่งขายหรือจากการวางแผนล่วงหน้า ระบบสามารถรวมความต้องการผลิตจากหลายออเดอร์ เพื่อให้ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่าที่สุด
ในหน้าจอการวางแผน คุณจะเห็น Gantt Chart หรือคิวงานของแต่ละ Work Center ว่ามีงานไหนกำลังผลิต งานไหนรอคิว และงานไหนล่าช้า เพื่อใช้ตัดสินใจว่าควร:
- เลื่อนคิวงานใดเพื่อให้ทันกำหนดส่งของลูกค้า
- เพิ่มกะการทำงานหรือโอทีในช่วงที่ออเดอร์หนาแน่น
- ปรับสมดุลโหลดงานระหว่างไลน์ผลิตต่าง ๆ
5. ตรวจสอบความพร้อมของวัตถุดิบอัตโนมัติ
ปัญหาใหญ่ของโรงงานคือ “ออกใบสั่งผลิตแล้ว แต่วัตถุดิบไม่พอ” Odoo ช่วยลดปัญหานี้ด้วยฟังก์ชันตรวจสอบความพร้อมของวัตถุดิบ (Availability Check) ทุกครั้งที่คุณสร้าง Manufacturing Order ระบบจะคำนวณทันทีว่า วัตถุดิบแต่ละรายการมีเพียงพอหรือไม่
หากสต็อกไม่พอ Odoo สามารถเชื่อมกับโมดูล Purchase เพื่อสร้างคำขอซื้อ (Purchase Requisition) หรือใบสั่งซื้อ (Purchase Order) แบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึง Lead Time ซัพพลายเออร์ เพื่อให้วัตถุดิบมาทันกำหนดผลิต
6. Shop Floor Control – ให้หน้างานอัปเดตสถานะได้ทันที
Odoo MRP มีหน้าจอ Tablet / Shop Floor ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในสายการผลิต พนักงานหน้างานสามารถกดเริ่มงาน หยุดงาน หรือแจ้งปัญหาจากหน้าจอเดียว ระบบจะบันทึกเวลาเริ่ม–จบของแต่ละขั้นตอน พร้อมจำนวนของที่ผลิตได้จริงและของเสีย (Scrap)
ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้จัดการโรงงานเห็นภาพจริงของประสิทธิภาพการผลิต (OEE) ไม่ว่าจะเป็น Downtime, ความเร็วในการผลิต หรืออัตราของเสีย ทำให้การปรับปรุงกระบวนการ (Continuous Improvement) มีฐานข้อมูลรองรับ ไม่ใช่แค่การคาดเดา
7. ควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบย้อนกลับ (Quality & Traceability)
สำหรับหลายอุตสาหกรรม เช่น อาหาร ยา ยานยนต์ หรืออิเล็กทรอนิกส์ การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) และการควบคุมคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ Odoo รองรับการใช้ Lot / Serial Number สำหรับวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป
คุณสามารถรู้ได้ว่าสินค้าล็อตไหน ใช้วัตถุดิบล็อตใด จากซัพพลายเออร์รายไหน ผ่านขั้นตอนการผลิตที่ Work Center ใดบ้าง เมื่อมีการเคลมสินค้า หรือพบปัญหาคุณภาพ คุณจึงสามารถย้อนกลับไปหาต้นตอได้อย่างรวดเร็ว ลดผลกระทบต่อชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายในการเรียกคืนสินค้า
8. คำนวณต้นทุนการผลิตอย่างแม่นยำ
การรู้ต้นทุนจริงของสินค้าแต่ละตัวคือพื้นฐานของการตั้งราคาขาย และการวิเคราะห์กำไร Odoo MRP ทำงานร่วมกับโมดูล Accounting และ Inventory เพื่อคำนวณต้นทุนจากหลายมิติ เช่น วัตถุดิบ (Material), แรงงาน (Labor), ค่าใช้เครื่องจักร (Overhead/Work Center Cost) และของเสีย
คุณสามารถเปรียบเทียบต้นทุนตามแผน (Standard Cost) กับต้นทุนจริง (Actual Cost) เห็นได้ทันทีว่าส่วนต่างมาจากอะไร เช่น วัตถุดิบใช้เกินกว่าที่คาด หรือเวลาในการผลิตนานกว่าแผน ข้อมูลนี้ช่วยให้ปรับปรุงกระบวนการผลิตและกำหนดราคาขายให้เหมาะสม
9. เชื่อมต่อครบวงจรกับการขาย สต็อก และจัดซื้อ
จุดแข็งของ Odoo คือการเชื่อมโยงโมดูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน เมื่อมีคำสั่งขาย (Sales Order) ระบบสามารถสร้างคำสั่งผลิต (MO) และคำสั่งจัดซื้อวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องแบบอัตโนมัติ เมื่อผลิตเสร็จ สินค้าจะถูกย้ายเข้าคลังพร้อมสำหรับการส่งให้ลูกค้า
ทุกขั้นตอนถูกบันทึกลงในระบบเดียว ตั้งแต่การรับวัตถุดิบ การผลิต การเก็บสต็อก จนถึงการออกใบกำกับภาษีและบันทึกบัญชี ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถติดตาม “เส้นทางของต้นทุนและมูลค่า” ได้ครบตลอดสาย
10. แนวทางการเริ่มใช้ Odoo MRP ให้ได้ผลจริง
การนำ Odoo MRP มาใช้ให้สำเร็จ ไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เริ่มจากการทำความเข้าใจกระบวนการผลิตของตัวเองอย่างละเอียด ขั้นตอนที่แนะนำคือ
- เก็บข้อมูล BOM และ Routing ของสินค้าแต่ละตัวให้ชัดเจน
- กำหนดโครงสร้างคลังและ Work Center ตามหน้างานจริง
- เริ่มทดลองใช้กับไลน์ผลิตบางส่วน ก่อนขยายไปทั้งโรงงาน
- ฝึกทีมงานให้คุ้นกับหน้าจอ Shop Floor และการบันทึกข้อมูลหน้างาน
- ใช้รายงานด้านประสิทธิภาพและต้นทุน เพื่อนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อระบบและกระบวนการเดินไปด้วยกัน Odoo MRP จะกลายเป็นเครื่องมือหลัก ที่ช่วยให้โรงงานของคุณผลิตได้ตรงเวลา ควบคุมต้นทุนได้ และพร้อมรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคตอย่างมั่นใจ